วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คณะนิเทศศาสตร์ / คณะวารสารศาสตร์(ตัวอย่างแผนศิลป์)

คณะนิเทศศาสตร์ / คณะวารสารศาสตร์


คณะนิเทศศาสตร์และคณะวารสารศาสตร์  เป็นการเรียนเกี่ยวกับการสื่อสารและการผลิตสื่อ  ที่ให้ความสำคัญของการสื่อสารเป็นหลัก  เรียนรู้ว่าเราจะทำสื่อออกมายังไงให้คนรับสารเข้าใจ  และเข้าถึงเนื้อหาที่นำเสนอออกไปมากที่สุดผ่านสื่อมีเดียต่าง ๆ  รวมถึงวิธีการและการสร้างสรรค์ผลงานอย่างไรให้น่าสนใจ  ให้กระจายไปสู่วงกว้างและได้รับการตอบรับที่ดี  คือหน้าที่สำคัญที่คนทำงานสื่อสารมวลชน   และต้องอยู่ในความรับผิดชอบต่อสังคม  นำเสนอเรื่องราวที่เป็นประโยชน์  สอดแทรกเนื้อหาที่ให้ข้อคิดกับคนดู  แม้ว่าจะเป็นรายการหรือสื่อที่มีความบันเทิงก็ตาม  แต่ก็ต้องไม่ละเลยสาระดี ๆ ที่จะทำให้คนดูได้กลับไปจากการรับชมสื่อ  ผู้ที่สนใจจะเรียนด้านนี้  ต้องมีความรอบรู้  หมั่นศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ  สังเกตสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ  เพื่อนำมาใช้ในการทำงาน  นอกจากนีั้จะได้รับประสบการณ์ที่เกี่ยวกับขั้นตอน  และวิธีในการผลิตสื่อออกมาในแต่ละรูปแบบ  ว่าจะนำเสนอยังไงด้วยวิธีไหน  และได้ใช้ความคิดในการสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้น่าสนใจ  เพื่อส่งต่อความสุข  ความรู้  และความบันเทิงให้กับผู้รับสาร
 
 สาขาที่เปิดสอน

สาขาวิชาบริหารการสื่อสาร
สาขาวิชาหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์
สาขาวิชาวิทยุและโทรทัศน์
สาขาวิชาประชาสัมพันธ์
สาขาวิชาโฆษณา
สาขาวิชาภาพยนตร์และภาพถ่าย
สาขาวิชาวารสารสนเทศ
สาขาวิชาวาทวิทยา
สาขาวิชาสื่อสารการแสดง
สาขาวิชาสื่อสารการตลาด
สาขาวิชาสื่อสารมวลชน
 
 คุณสมบัติผู้เข้าศึกษา

จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) มีความสามารถในการใช้ภาษาติดต่อสื่อสาร  มีความรู้ด้านภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  มีความสนใจทางด้านศิลปะการสื่อ  มีความคิดสร้างสรรค์  รักการอ่าน การเขียน มีความรู้กว้างขวางและสนในศึกษาเรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่และทันต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ  มีความรับผิดชอบ  ตรงต่อเวลาอยู่เสมอ กล้าแสดงออก  ช่างสังเกต  มีบุคลิกที่ดี  มีมนุษยสัมพันธ์ดี  ปรับตัวได้กับสถานการณ์ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  และต้องเป็นคนที่คล่องแคล่วในการทำงาน 
 
 แนวทางการประกอบอาชีพ แนวทางการเรียนต่อ

อาชีพที่เกี่ยวข้องกับคณะนิเทศศาสตร์และคณะวารสารศาสตร์  แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับการผลิตสื่อต่าง ๆ  เช่น  งานในสายบริหารธุรกิจ  การตลาด  เศรษฐศาสตร์  ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสื่อสารมวลชนทั้งหมด  รวมถึง  กราฟฟิกดีไซน์  นักข่าว บรรณาธิการนิตยสาร  บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ 
 คอลัมนิสต์  นักโฆษณาหรือครีเอฟโฆษณา  ผู้กำกับภาพยนตร์  นักเขียนนักแสดง  พิธีกร  ดีเจ  คนเขียนบท  เจ้าหน้าที่ตัดต่อ  ช่างภาพ   งานในสายการผลิตรายการโทรทัศน์  ผู้ประกาศข่าว ครีเอทีฟด้านต่างๆ  เป็นต้น   ซึ่งแต่ละอาชีพสามารถทำงานได้ทั้งในบริษัทเอกชนและหน่วยงานของรัฐบาล 
 
 สถาบันที่เปิดสอน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คณะนิเทศศาสตร์    
ภาควิชาวารสารสนเทศ
ภาควิชาการสื่อสารมวลชน
ภาควิชาการประชาสัมพันธ์
ภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง
ภาควิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง
สาขาวิชาการจัดการการสื่อสาร (หลักสูตรภาษาอังกฤษ)

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (วิทยาเขตบางเขน)
คณะมนุษยศาสตร์
สาขาวิชานิเทศศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์


มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม
วิชาเอกการแสดงและกำกับการแสดงผ่านสื่อ 
วิชาเอกการผลิตงานภาพยนตร์และสื่อดิจิตอล 
วิชาเอกการออกแบบเพื่องานภาพยนตร์ 

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
สาขาวิชาภาพยนตร์ และ ดิจิทัลมีเดีย
สาขาวิชาการถ่ายภาพ

มหาวิทยาลัยบูรพา
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต

มหาวิทยาลัยพะเยา
คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์
หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต

มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์    
สารสนเทศและการสื่อสาร
สาขาวิชาสารสนเทศศาสตร์

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะวิทยาการสารสนเทศ
สาขาวิชานิเทศศาสตร์

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน
เทคโนโลยีการพิมพ์ 
เทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนต์ 
เทคโนโลยีการโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง 
เทคโนโลยีมัลติมีเดีย 
เทคโนโลยีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ 
เทคโนโลยีสื่อดิจิทัล 

มหาวิทยาลัยแม่โจ้
คณะศิลปศาสตร์
สาขาวิชานิเทศศาสตร์บูรณาการ

มหาวิทยาลัยนครพนม
คณะวิทยาการจัดการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
สาขานิเทศศาสตร์ 

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี)
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
สาขาวิชาภาษาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
คณะวิทยาการจัดการ
สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารองค์กร
สาขาวิชาการแพร่ภาพและเสียงผ่านสื่อใหม่
สาขาวิชาการภาพยนต์และการสื่อสารการแสดง
สาขาวิชาภาพเคลื่อนไหวและสื่อผสม
สาขาวิชาวารสารสนเทศ
สาขาวิชาวิทยุกระจายเสียง
สาขาวิชาวิทยุโทรทัศน์
สาขาวิชาการโฆษณาและการสื่อสารการตลาด

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
คณะวิทยาการจัดการ
สาขาวิชานิเทศศาสตร์

สัตวแพทย์ (ตัวอย่างแผนวิทย์)

เส้นทางสู่อาชีพสัตวแพทย์

คุณหมอรักษาสัตว์

สัตวแพทย์ หรือ คุณหมอรักษาสัตว์ เป็นอีกอาชีพในฝันของน้อง ๆ หลาย ๆ คน  โดยเฉพาะคนที่ชอบช่วยเหลือสัตว์   สัตว์เลี้ยงก็เหมือนสมาชิกในครอบครัวที่เราต้องดูแล ยามที่เจ็บป่วยหากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ก็จะมีสุขภาพดีมีอายุที่ยืนยาว อาชีนี้จึงมีความสำคัญในการช่วยบรรเทาทุกข์ของสัตว์ ให้พ้นจากความเจ็บป่วยและทรมาน เมื่อเวลาที่คนเราป่วยยังมีหมอคอยดูแลรักษาอาการ สัตว์เลี้ยงของเราก็เช่นเดียวกันต้องมีสัตวแพทย์คอยดูแล

ลักษณะงาน

1.  ตรวจโรคและให้การรักษา เพื่อดูอาการผิดปกติของสัตว์ โดยใช้ยาหรือผ่าตัดสัตว์ที่เจ็บป่วย 
2. ตรวจร่างกายของโคนมหรือสัตว์อื่น ๆ เป็นระยะ และฉีดยาป้องกันโรค เช่น อหิวาห์ตกโรค โรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น                                                                                                                                           

3.การทำงานด้านนิเวศวิทยา สุขศาสตร์การอาหาร มาตรฐานอาหารและปนเปื้อนในอาหารที่มีต้นกำเนิดมากจากสัตว์เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
4.  ค้นหาสาเหตุของโรคระบาดและหาทางป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่ไปยังสัตว์
5. ให้บริการด้านสูติศาสตร์  ให้คำแนะนำแก่เจ้าของสัตว์ ในด้านสุขศาสตร์ การให้อาหาร  การผสมพันธุ์และการเลี้ยงดูทั่วๆไป
6. ผ่าซากสัตว์เพื่อชันสูตรโรค
7. อาจเชี่ยวชาญในการรักษาสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น สัตว์เลี้ยงทั่วไป , สัตว์ปีก หรือเชี่ยวชาญทางสัตว์แพทย์ศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่ง  เช่น ศัลยกรรม หรือรังสีวิทยา เป็นต้น

สภาพการทำงาน 

ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำงานในสถานที่ที่เหมือนกับสำนักงานทั่วไป  โดยมีห้องรักษาสัตว์ที่มีเตียงตรวจและอุปกรณ์สำหรับการรักษาหรือบางครั้ง ต้องออกทำงานนอกสถานที่ในกรณีที่ไม่สามารถนำสัตว์มาที่คลินิกได้ หรือทำงานนอกสถานที่ในกรณีที่ต้องทำงานป้องกันโรคระบาดหรือตรวจเยี่ยมตาม บ้านหรือฟาร์มของเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ การตรวจรักษาสัตว์ต้องระมัดระวังสัตว์ที่ดุร้ายหรือกลัวและโกรธ ซึ่งมีโอกาสกัดหรือทำร้ายได้  ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องเข้าใจธรรมชาติของสัตว์แต่ละชนิดเพื่อที่จะได้ทำการ ตรวจรักษาได้อย่างปลอดภัย

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ

1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาสัตวแพทย์ศาสตร์
2. มีนิสัยรักสัตว์และรักที่จะประกอบอาชีพนี้
3. มีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรและเพื่อนร่วมงาน
4. มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อดทน เพราะในบางครั้งต้องดูแลสัตว์ขนาดใหญ่
5. ต้องมีความสนใจในวิชาชีววิทยาและสามารถสอบได้คะแนนสูงในวิชานี้
6. มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานตรวจโรค และให้การรักษาโดยใช้ยาหรือผ่าตัดสัตว์ที่เจ็บป่วย บาดเจ็บหรือต้องการรับการรักษา
7. มีความละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกตสนใจกระตือรือร้นในการ ทำงาน สนใจแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ
8. มีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพ กล้าตัดสินใจ รับผิดชอบในการทำงาน

อาชีพสัตวแพทย์ต้องเรียนอะไร

ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาวิชาสัตวแพทย์ศาสตร์  หลักสูตรการศึกษา 6 ปี จากสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย  โดยศึกษาวิชาทางสัตวแพทย์ เรียนวิชาที่เกี่ยวกับตัวสัตว์เกือบทั้งหมดทั้งกายวิภาคศาสตร์  สรีรวิทยา เกี่ยวกับจุลชีววิทยา วิทยาภูมิคุ้มกัน ปาราสิตวิทยา พยาธิวิทยา อายุรศาสตร์  เภสัชวิทยา ศัลยศาสตร์  เธนุเวชและวิทยาการ สืบพันธุ์  สัตวแพทยศาสตร์  สาธารณสุขการปฏิบัติทางคลีนิค ทุกรายกลุ่มวิชาจะครอบคลุมในสัตว์เลี้ยง  (สุนัข แมว) สัตว์เศรษฐกิจและสัตว์ป่า

โอกาสในการมีงานทำ

ความต้องการผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ  เพราะนอกจากจะประกอบธุรกิจส่วนตัวแล้ว สถานประกอบกิจการภาคเอกชน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ และผู้ประกอบกิจการด้าน ปศุสัตว์ ล้วนแต่ต้องพึ่งสัตวแพทย์ในการดูแล และตรวจรักษาทั้งสิ้น  ถ้าปีใดเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวลดลงก็จะมีผลกระทบต่อตลาดแรงงานในอาชีพนี้บ้าง ปัจจุบัน ประเทศไทยรณรงค์ด้านการสงวนพันธุ์สัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ   กระทิง จึงมีสัตวแพทย์ประจำโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ป่าที่พลัดหลง หรือบาดเจ็บ ส่วนผู้ประกอบการด้านปศุสัตว์นั้นมีเพิ่มขึ้นเพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ไปจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งจำเป็นจะต้องทำให้สินค้ามีคุณภาพและปลอดจากโรค ความต้องการสัตว์แพทย์จึงยังคงมีอยู่และอาจเพิ่มมากขึ้น ถ้าการส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น
 อย่างไรก็ตาม มีผู้นิยมเลี้ยงสัตว์ในบ้านเรือนส่วนบุคคลมากขึ้น ความต้องการสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลหรือคลินิก อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกทั้งโอกาสในการประกอบอาชีพส่วนตัวเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เพราะผู้เลี้ยงสัตว์มักนำสัตว์เลี้ยงของตนไปคลีนิกมากขึ้น  เนื่องจากต้องการความสะดวกรวดเร็วในการตรวจและรักษาสัตว์เลี้ยง

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ

ผู้ประกอบอาชีพสัตวแพทย์ที่ทำงานจนมีความชำนาญ และประสบการณ์จะได้รับการเลื่อนขั้นตำแหน่งไปจนถึงระดับผู้บริหาร  สำหรับสัตวแพทย์ที่ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็มีโอกาสในการทำงานเป็นอาจารย์สอนในสถาบันหรือ มหาวิทยาลัยทั่วไปที่มีหลักสูตรสัตวแพทย์ ผู้ประกอบอาชีพนี้สามารถประกอบอาชีพอิสระโดยการเปิดคลีนิกรักษาสัตว์ เป็นรายได้หลักหรือรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำได้เช่นกัน

Final Guide


ค้นหาตัวเอง ก่อนเลือกคณะ

10 เทคนิคค้นหาตัวเองในการเลือกคณะเรียน

ในการเลือกคณะและสาขาวิชานั้น ควรพิจารณาถึงสิ่งที่ตนเองชอบมากที่สุด เนื่องจากเวลาที่เราชอบทำสิ่งใดเราก็จะมีความสุขที่ได้ทำสิ่งนั้น แล้วความสำเร็จจะตามมาเอง ดังนั้น เมื่อก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย การเลือกคณะ/สาขาวิชาถือเป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วัยการทำงานในอนาคต โดยหลักเกณฑ์ในการพิจารณามีดังต่อไปนี้

1. รู้จักตนเองก่อน
ถามตนเองก่อนว่าทำไมถึงอยากเรียนต่อ เพราะต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงานใช่ไหม ถ้าใช่แล้วล่ะก็ ควรเลือกวิชาที่เหมาะสมกับความถนัดและความสามารถของตนเอง แต่สำหรับคนที่ทำงานแล้ว หากต้องการศึกษาต่อ ควรเลือกเรียนสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ ลองปรึกษากับเพื่อน เพื่อนร่วมงานหรือนายจ้างก็ได้ สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนสายงาน การเรียนต่อถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้โอกาสในการทำงานที่หลากหลายขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อค่อนข้างแพงพอสมควร ดังนั้น ควรคำนึงถึงโอกาสในการจ้างงานด้วย
สรุป
-พิจารณาประสบการณ์และความสามารถของตนเอง
-พิจารณาถึงความก้าวหน้าและโอกาสในการจ้างงาน
-พิจารณาวิชาที่ตนเองสนใจ
-ปรึกษาหารือกับเพื่อนๆ เพื่อนรวมงานและนายจ้างเกี่ยวกับวิชาสาขาวิชานั้นๆเพื่ออาจนำมาใช้ปรับปรุงในการทำงานต่อไป

2. ความชอบ/ความสนใจของตัวเอง
ควรเลือกสาขาที่ตนเองชอบและถนัด ไม่ใช่เลือกเรียนตามเพื่อนหรือทำตามพ่อแม่

3. สถาบันที่เรียน
ไม่จำเป็นต้องเจาะจงเลือกเรียนสถาบันนั้นนี้ ให้พิจารณาถึงสาขาวิชาที่น้องๆสนใจ และคุณสมบัติที่สถาบันนั้นใช้เป็นเกณฑ์ในการรับสมัคร หรืออาจพิจารณาไปเรียนต่อต่างประเทศก็ได้ ได้ท่องโลกกว้างขึ้น มีเพื่อนใหม่ มีคอนเน็คชั่นเยอะ เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต

4. พิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ
หลังจากค้นหาตนเองเจอแล้ว ทีนี้เราก็มาพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ค่าเล่าเรียน ค่าครองชีพ คุณสมบัติ สำหรับคนไปเรียนต่างประเทศหรือเรียนภาคอินเตอร์ ทักษะภาษาอังกฤษของตนเองอยู่ไหนระดับที่สามารถเข้าศึกษาต่อสถาบันนั้นไหม หากภาษาอังกฤษไม่เพียงพอก็อย่าเพิ่งท้อ บางสถาบันมีหลักสูตรปูพื้นฐานก่อนเข้าเรียน หรือเลือกหาคอร์ส เรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ เพิ่มเติม

5. จัดอันดับวิชาที่สนใจ
รวบรวมคณะ/สาขาวิชาที่ตนเองสนใจและถนัดมาสัก 5 สาขา โดยเรียงลำดับความชอบและไม่เกินความสามารถของตนเอง ที่คิดว่ามีโอกาสจะเข้าศึกษาต่อมากขึ้น รวมถึงขอคำปรึกษาจากผู้ที่เคยเรียนคณะ/สาขาวิชานั้นด้วย

6. ปัจจัยด้านใดที่สำคัญต่อการเข้าศึกษา
ลิสต์สิ่งที่สำคัญๆมาสัก 3 รายการ เกี่ยวกับสถาบันและวิชาที่ต้องการศึกษาต่อ เช่น สถาบันที่น้องๆต้องการเข้าศึกษาจัดอยู่ในอันดับไหนของประเทศ ชื่อเสียง สื่อการเรียนการสอน ประสบการณ์ที่จะได้รับ การฝึกงาน ค่าเรียน ศูนย์ช่วยเหลือนักเรียน ความปลอดภัย ชีวิตในมหาวิทยาลัย และอื่นๆอีกมากมาย

7. รูปแบบการเรียนรู้
คนแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน บางคนอาจชอบระบบการศึกษาแบบไม่ต้องเข้าเรียน เพียงสอบให้ผ่าน บางคนอาจชอบทำรายงานส่งอาจารย์เพื่อเป็นคะแนนเก็บช่วยในการสอบปลายภาค บางคนชอบทำงานกลุ่ม บางคนชอบทำงานด้วยตนเอง บางคนชอบอภิปรายหน้าชั้นเรียน แต่บางคนทำรายงานเป็นรูปเล่มดีกว่า ดังนั้นเลือกสไตล์การเรียนที่เหมาะสมกับตนเองจะดีที่สุด

8. คำนึงถึงโอกาสในการทำงาน 
การเรียนก็เปรียบเสมือนการลงทุน โดยเฉพาะการไปเรียนต่อต่างประเทศย่อมมีค่าใช้จ่ายที่แพง ดังนั้นควรคำนึงถึงสิ่งที่เราจะได้รับ ทั้งอาชีพการงานและผลตอบแทน

9. ศึกษารายละเอียดวิชาที่จะเรียน
เพราะคณะนึงมีสาขาวิชาให้เรียนหลากหลาย เช่น คณะวิศวกรรม มีสาขาให้เลือกเรียนมากมาย ตั้งแต่วิศวกรรมชีวการแพทย์ไปจนถึงวิศวกรรมโยธา หรือคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ก็มีหลักสูตรเปิดสอนในหลายสาขา ดังนั้นพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนทำการสมัคร

10. เปลี่ยนสาขา
หากเรียนไปแล้ว และรู้สึกว่ามันไม่ใช่นะ มันไม่เหมาะกับเราเลยอ่ะ หรือเรียนไม่ไหว ลองพิจารณาเปลี่ยนคณะ/สาขาวิชา คงไม่สายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ แต่อย่าปล่อยเวลาให้เนิ่นนานเกินไปละ เพราะถ้าปล่อยให้นานเกินไป จะสูญเสียทั้งเวลาและเงินทองโดยใช่เหตุ

คำถามที่ใช้สร้างแรงบันดาลใจ..สู่ความสำเร็จ

18 คำถามที่ใช้สร้างแรงบันดาลใจ..สู่ความสำเร็จ
ความสำเร็จ..เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง แต่หลายคนไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีอะไรกระตุ้น/ฉุดให้ลุกขึ้นมาวิ่ง
ลองถาม 18 คำถามนี้กับตัวเอง อาจจะเกิดแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างขึ้นมาก็ได้นะครับ
1. คุณมีความเชื่ออะไรผิดๆ ที่ฉุดรั้งความเจริญรุ่งของคุณอยู่หรือเปล่า? – ผมรู้ว่าตอบยาก ถ้ารู้คงตาสว่างไปนานแล้ว แต่เคล็ดลับในการตอบคำถามนี้ก็คือ.. ลองนึกถึงเหตุการณ์ที่เราคิดอยากจะทำอะไรดีๆ แล้วเราไม่ได้ทำ ไม่แม้แต่จะเริ่มต้น แล้วนึกต่อว่า เราคิดว่ามันมีอุปสรรคอะไรเหรอ..ที่ทำให้เราล้มเลิกความคิดที่จะทำสิ่งนั้น
2. งานอดิเรกของคุณคืออะไร? – งานอดิเรกคือสิ่งที่คุณชอบทำในยามว่าง ถ้าตอบข้อนี้ได้ คุณก็ค้นพบสิ่งที่ชอบแล้ว และการทำอะไรที่เราชอบ..ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง จริงไหม?
3. คุณมีพรสวรรค์ในเรื่องไหนบ้าง? – อันนี้มันยิ่งกว่างานอดิเรกอีกนะ เพราะมันไม่ใช่ความเก่งอย่างเดียว แต่เป็นความเก่งที่คนอื่นไม่มีเหมือนเราด้วย ถ้าตัวเองตอบไม่ได้ ก็ลองถามคนอื่นดู เราอาจค้นพบ “ทรัพย์สินในตน” ที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
4. ทำงานกับใครแล้วมีความสุข? – ทำอะไรแล้วมีความสุข..ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง แล้วอย่าหยุดคิดแค่ว่า “ใคร” แต่หาคุณสมบัติของคนนั้นให้เจอ เพราะเราสามารถหา “คนอื่นได้อีก” ที่มีคุณสมบัติอย่างนั้น และนั่นแหละ “ทีมงานของคุณ”
5. คุณชอบทำงานที่ไหน? – หมายถึง “สภาพแวดล้อมแบบไหน” นั่นจะทำให้งานของคุณมีประสิทธิภาพ ผมเห็นมาหลายแบบ บางคนชอบอยู่เงียบๆ คนเดียว บางคนชอบทำเป็นกลุ่ม/แลกเปลี่ยนความคิดและเล่าความก้าวหน้าของงานของแต่ละคนอยู่ตลอดเวลา
6. คุณมีไฟปราถนาในเรื่องอะไร? – เห็นอะไร/ทำอะไรแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก บางคนชอบเที่ยว บางคนชอบสอน บางคนชอบแข่งขัน เรื่องอย่างนี้ถ้าไม่ถูกบังคับให้ถามตัวเองก็คงไม่เคยตอบ แต่ถ้าตอบได้..ก็น่าจะเริ่มเห็นแนวทางแล้วใช่ไหมครับ
7. แล้วจะเปลี่ยนไฟปราถนานั่นเป็น “การกระทำ” ได้ยังไง? – เคยถามตัวเองไหม คำแนะนำคือ..เริ่มต้นด้วยการทำ ‘งานอดิเรก’ ที่เกี่ยวข้องกับไฟปราถนานั่น แล้วค่อยๆ เปลี่ยนมันเป็น ‘งานหลัก’ ในระยะยาว
8. อะไรที่สร้างแรงบันดาลใจให้คุณ? – ท่องเที่ยว/หนังสือ/พูดคุยกับบางคน/ออกไปทำกิจกรรมสังคม/ปาร์ตี้ คนเราต้องเคยกันบ้างแหละที่เกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ ขึ้นมาเสมอเวลาที่ได้..จุดจุดจุด ลองหา pattern ดู แล้วพาตัวเองไป..จุดจุดจุด..บ่อยๆ
9. คุณมีวิธีเติมไฟให้ตัวเองอย่างไร? – เชื่อสิ คนเรามักต้องหาวิธีบางอย่างอยู่เสมอ..เพื่อมากระตุ้นตัวเองให้ทำงานแต่ละชิ้นให้สำเร็จ ลองนึกดูดีๆ แล้วจะได้ใช้มันบ่อยๆ
10. คุณหลับฝันว่าอะไร? – จริงนะ..ผมหมายถึงความฝันตอนที่นอนหลับน่ะ ตื่นมาแล้วรีบจดๆ ไว้ก่อน จดไว้เรื่อยๆ ทำไมเหรอครับ..เพราะว่าในหลายๆ ครั้ง สิ่งที่คุณฝัน คือความคิดที่อยู่ในจิตใต้สำนึก ที่เวลาปรกติแล้วเราจะไม่นึก/นึกไม่ออก และบางครั้งความคิดที่อยู่ในจิตใต้สำนีกจะชี้นำให้เราเกิดแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างได้
11. คุณเคยเอาชนะอุปสรรคอะไรมาบ้าง? – โดยเฉพาะอุปสรรคครั้งสำคัญ มันต้องเคยกันบ้างแหละ ถ้าเรานึกย้อนกลับไป มันเป็นกำลังใจให้เราเป็นอย่างดี เราจะไม่กลัวอุปสรรคข้างหน้า
12. เวลามีใครพูดไม่ดีเกี่ยวกับคุณ คุณตอบสนองยังไง? – คุณเลือกได้ว่าจะรู้สึกไม่ดี หรือไม่สน เสร็จแน่..ถ้าคุณปล่อยให้คำพูดของคนอื่นมากำหนดความคิดของคุณ กลับกัน..ความคิดและการกระทำของคุณเท่านั้นที่กำหนดปลายทางของตัวคุณเอง
13. ที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้..เพื่ออะไร? – เป็นคำถามที่ลึก และตอบยาก แต่ถ้าคุณตอบได้ แสดงว่าคุณมีเป้าประสงค์อะไรบางอย่าง ครอบครัว/พ่อแม่/คนพิการ/เด็กกำพร้า/สังคม และนั่นแหละ เป็นแรงบันดาลใจให้คุณทำต่อไป
14. คุณชื่นชอบใครเป็นพิเศษ? – คนเหล่านั้นเขาก็มี ‘แรงบันดาลใจ’ ของเขาเอง และคุณก็อาจค้นพบแรงบันดาลใจของคุณเองได้จากคนที่คุณชื่นชอบเช่นกัน
15. จุดอ่อนของคุณคืออะไร? – ไม่มีใครเพียบพร้อมสมบูรณ์ทุกสิ่ง ถ้าคุณรู้จุดอ่อน คุณก็จะรู้ว่าต้องปรับปรุงเรื่องอะไร เริ่มจากตรงนั้นเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ชีวิตคุณดีขึ้น
16. เป้าหมายของคุณคืออะไร? – ผมพูดมาหลายครั้งแล้วว่า คนเราต้องมีเป้าหมาย ถ้าไม่มีเป้าหมายก็ไม่มีการกระทำ วันๆ คงนั่งดูทีวีขึ้นอืดอยู่กับบ้าน
17. ถ้ามีเป้าหมายแล้วจะทำยังไงให้สำเร็จ? – ถ้าไม่วางแผน ก็คงไม่มีการลงมือทำ ถ้าไม่ลงมือทำ เป้าหมายก็คงเป็นเป้าที่อยู่ไกลๆ ต่อไป
18. มีอะไรที่คุณรู้สึกว่าต้อง “ขอบคุณ”? – เป็นคำถามที่แปลก แต่เพราะทุกคนไม่เคยนึก ผมก็เลยต้องเขียน การที่เราพยายาม ‘ค้นหา’ ว่ามีอะไรที่เราควรรู้สึกขอบคุณ (พ่อแม่/สังคม/ดิน/ฟ้า/อากาศ) จะทำให้เรารู้สึกดีกับชีวิตและตนเอง รู้สึกว่าเรามีวันนี้ได้เพราะ … หลายอย่าง รู้สึกว่าเราต้องตอบแทน รู้สึกว่าเราต้องทำเพื่อคนอื่นบ้าง บางครั้งสิ่งนี้ทำให้เรามีแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างขึ้นมา (อย่าลืมโจทย์นะครับ..เรากำลังพูดถึงวิธีหาแรงบันดาลใจ)

ความชอบและความถนัดของตัวเอง

หลักการค้นหาตัวเองโดยสำรวจความชอบและความถนัดของตัวเอง

1. ความชอบ/ความถนัดในแง่การทำงานหรือกิจกรรม
-   ชอบออกแรงและทำด้วยมือตัวเองเป็นพวกชอบออกแรงทำด้วยตัวเอง ชอบอิสระ ชอบเดินทาง ให้อยู่เป็นที่เป็นทางแล้วจะตาย
-   ชอบคิดและวิเคราะห์เป็นพวกมองอะไรเป็นขั้นเป็นตอน ชอบสืบเสาะหาความจริง และชอบวางแผนงาน (เป็นจอมบงการนั่นเอง)
-   ชอบริเริ่มและสร้างสรรค์เป็นพวกเด็กแนว ไม่ชอบติดอยู่กับกฎเดิมๆ ชอบความท้าทาย แปลกใหม่ แหวกๆ แหกๆถึงจะมันส์
-   ชอบสนับสนุนและประสานงานเป็นพวกจิตกุศล ชอบช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจคนอื่น และชอบเป็นเบื้องหลังความสำเร็จในงานต่างๆ
-   ชอบโน้มน้าวและเป็นผู้นำเป็นนักเจรจาพาที กล้าพูด นำเสนอดี ชอบออกความคิดเห็น กล้าตัดสินใจ ชอบทำงานร่วมกับคนหมู่มาก
-  ชอบรักษาระเบียบและควบคุมกฎเป็นพวกแบบแผนสูง ชอบกฎเกณฑ์ ชอบจัดระเบียบกับสิ่งที่เห็น เก็บข้อมูลเก่ง และจดจำแม่นยำ

2. ความชอบ/ความถนัดในแง่วิชาการ
-    ชอบวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
-    ชอบคณิตศาสตร์ และสังคมศาสตร์
-    ชอบคณิตศาสตร์ และภาษาศาสตร์
-    ชอบภาษาศาสตร์ และสังคมศาสตร์
-    ชอบศิลปะ ดนตรี หรือการแสดงแขนงต่างๆ

3. ความชอบ/ความถนัดในแง่ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
-   ชอบทำงานตัวคนเดียว
-   ชอบทำงานกับคนที่รู้จักและรู้ฝีมือ
-   ชอบทำงานกับคนที่ไม่รู้จักหรือเปลี่ยนแปลงผู้ร่วมงานบ่อยๆ
ตอนนี้ให้กลับไปคิดดูก่อนว่าชอบแนวไหน สำหรับน้องคนไหนที่รู้สึกว่ายังเลือกเรื่องความชอบความถนัดทางด้านการทำงานไม่ได้ หรือเป็นพวกรักพี่เสียดายน้อง ก้ำกึ่งอยู่ ตอนหน้าพี่จะช่วยตั้งคำถามที่น้องๆที่จะช่วยให้ค้นหาตัวเองได้ “เป๊ะ” และวิธีเลือกอาชีพให้ “โดน” ต่อไปครับ อย่าลืมติดตามละ

ความเดิมจากตอนที่แล้ว พี่ได้ให้น้องลองสำรวจความชอบของตัวเองทั้งด้านการทำกิจกรรม วิชาการ และการเข้าสังคม ซึ่งแน่นอนว่าน้องคงรู้ใจตัวเองอยู่พอควรว่าวิชาที่น้องชอบเป็นแนวไหน และปกติเราเป็นคนชอบเข้าสังคมมากเพียงใด แต่เรื่องลักษณะเด่นในด้านการทำงานนี่อาจจะไม่ค่อยแน่ใจ วันนี้พี่เลยเอาคำถามมาให้น้องๆลองดู เพื่อที่จะค้นหาตัวเองได้ง่ายขึ้น ส่วนคนไหนที่มีลักษณะโดดเด่น รู้ว่าตัวเองอยากจะทำงานแนวไหน น้องลองทำดูให้มั่นใจไปเลยว่าคณะเป๊ะๆที่จะเข้าควรจะเป็นคณะอะไรกันแน่
มาเริ่มกันเลย....ให้น้องๆอ่านข้อความด้านล่างนี้ แล้วพิจารณาว่าประโยคไหนที่มันเป็นเรามากๆบ้าง
ชุดที่ 1
@ ฉันเป็นคนอยู่นิ่งๆไม่ได้ ต้องทำนู้นทำนี่ตลอดเวลา
@ ฉันเข้ากับคนง่าย ไม่ถือตัว
@ ฉันไม่ชอบมานั่งแต่งตัวเพื่อจะไปออกงานกลางคืน
@ ฉันชอบออกมาเล่นข้างนอก ถึงแม้อากาศจะไม่ค่อยดีก็ตาม
@ ฉันไม่ชอบคิดโครงงาน หรือหัวข้อรายงานเอง แต่บอกมาเลยจะทำอะไร ทำได้หมด
ชุดที่ 2
@ ฉันชอบเลข หรือไม่ก็วิทยาศาสตร์
@ ฉันไม่ชอบรองานจากใคร
@ ฉันไม่ชอบทำงานกลุ่ม ฉายเดี่ยวสนุกกว่า
@ ฉันไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ
 @ ฉันชอบเล่นเกมที่ต้องคิดเยอะหน่อย เช่น หมากล้อม หมากฮอท โซโดขุ
ชุดที่ 3
@ ฉันชอบตกแต่งห้อง หรือมุมที่เป็นฉัน
@ ฉันมีปัญหากับการทำตามคำสั่ง
@ ฉันไม่ชอบทำอะไรที่จะต้องไปเหมือนคนอื่น
@ เพื่อนมักมองว่าฉันชอบจินตนาการ หรือเพ้อฝัน
@ ฉันชอบงานประเภทการแสดง ศิลปะ และดนตรี (ถึงแม้ว่าอาจจะทำได้ไม่ค่อยดี ก็ยังชอบทำ)

ชุดที่ 4
@ ฉันชอบทำงานเป็นกลุ่ม
@ ฉันคิดถึงความรู้สึกคนอื่นอยู่ตลอด เวลาจะพูดอะไรแรงๆไป
@ ฉันชอบรับฟังคนอื่นพูด หรือชอบฟังปัญหาคนอื่น
@ ฉันชอบทำงานอาสาสมัคร
@ ฉันไม่ชอบเวลามีใครขึ้นเสียง ถึงแม้จะไม่ได้ทำกับฉันก็ตาม
ชุดที่ 5
@ ฉันไม่ชอบที่มีคนไม่เห็นด้วยกับฉัน
@ ฉันจะเล่นละครโรงเรียน ถ้ามี
@ ฉันชอบออกมานำเสนอหน้าชั้น
@ ฉันทำกิจกรรมเยอะแยะไปหมด
@ ฉันชอบเป็นคนตั้งกลุ่ม หรือชมรมเพื่อทำกิจกรรมหนึ่งๆ ตลอดเวลา
ชุดที่ 6
@ ฉันชอบมีกิจวัตรประจำวัน หรือตารางเวลาที่แน่นอน
@ ฉันชอบการตกลงที่มีกฎเกณฑ์ตายตัว
@ ฉันไม่ชอบเวลาที่ชีวิตมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องทำพร้อมกัน
@ ฉันเกลียดการไปสาย และการผิดเวลา
@ ฉันดูแลรักษาของเป็นอย่างดี เก็บของเรียบร้อย และเมื่อสะสมของก็จะจัดเรียงอย่างสวยงาม
เอาละ...คราวนี้ได้เวลาเฉลยบุคลิกที่โดดเด่นและงานที่น้องถนัดกันซะที โดยการที่ให้น้องดูว่าน้องได้เลือกประโยคในชุดใดมากที่สุด (อย่างน้อยต้องเลือก 3 ข้อในชุดนั้นๆ)
เลือกชุดที่ 1 มากที่สุดแสดงว่าน้องเป็นนักปฏิบัติตัวยง งานที่เหมาะกับน้องคือพวกผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่างๆ แต่ต้องเป็นอาชีพที่ต้องออกแอ็คชั่นเยอะๆ และได้เดินทางเพราะน้องเป็นพวกขี้เบื่อ ถ้าเป็นน้องสายวิทย์งานที่เหมาะกับคนประเภทนี้เช่นผู้ตรวจสอบมาตรฐาน ส่วนสายศิลป์ก็เป็นครู นักโบราณคดี หรือเป็นพวกนักออกแบบตกแต่งภายในก็ได้
เลือกชุดที่ 2 มากที่สุดแสดงว่าน้องเป็นนักคิด เจ้าความคิด จอมวางแผน งานที่เหมาะกับน้องคือพวกนักวิเคราะห์ทางด้านต่างๆ น้องเป็นคนชอบความท้าทาย เห็นความยุ่งยากเป็นเรื่องสนุก งานที่เหมาะสำหรับสายวิทย์ เช่นงานวิศวะ หรือโปรแกรมเมอร์ ส่วนสายศิลป์เช่น นักวิชาการ หรือนักการเงินก็ได้
เลือกชุดที่ 3 มากที่สุดแสดงว่าน้องเป็นพวกติสจัด งานที่เหมาะกับน้องคืองานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์สูงๆ น้องเป็นคนที่สามารถคิดอะไรๆออกมาได้โดยที่ไม่ต้องมีเหตุผลมารองรับ งานที่เหมาะสำหรับสายวิทย์ เช่นงานสถาปัตย์ ส่วนสายศิลป์เช่น นักการตลาด หรือเป็นพวกนักเขียน นักร้อง นักแสดงไปเลย
เลือกชุดที่ 4 มากที่สุดแสดงว่าน้องเป็นพวกพ่อพระ แม่พระ งานที่เหมาะกับน้องคืองานที่ต้องไปช่วยเหลือคนอื่นๆ น้องเป็นคนที่เห็นใครลำบากไม่ได้ ใจอ่อนตลอด งานที่เหมาะสำหรับสายวิทย์ เช่นแพทย์ เภสัช ส่วนสายศิลป์เช่น ครู พนักงานแผนกลูกค้าสัมพันธ์ หรือเป็นผู้ประสานงานธุรกิจ
เลือกชุดที่ 5 มากที่สุดแสดงว่าน้องเป็นพวกผู้นำโดยสายเลือด งานที่เหมาะกับน้องคืองานที่ต้องพูดเยอะๆ และนำกลุ่มคนในการทำงานบางอย่าง น้องเป็นคนที่ชอบเสนอโครงการ หรือแสดงความคิดเห็นเสมอ งานที่เหมาะคืองานด้านการบริหาร หรือประชาสัมพันธ์ เช่นนักการเมือง ผู้บริหารบริษัท หรือทำธุรกิจส่วนตัว
เลือกชุดที่ 6 มากที่สุดแสดงว่าน้องเป็นพวกเจ้าแบบแผน เป็นคนที่อยู่ในกฎระเบียบเสมอ งานที่เหมาะกับน้องคืองานที่มีกฎระเบียบแน่ชัด น้องเป็นคนที่ชอบงานที่เป็นระเบียบ และสามารถทำงานที่ต้องใช้ความละเอียด พิถีพิถันได้ดี งานที่เหมาะคืองานด้านการทูต กฎหมาย หรือบัญชี หรือเป็นพวกช่างเทคนิคที่ต้องใช้ความละเอียดถี่ถ้วน เช่นผู้คุมโรงงานผลิต
อาชีพที่พี่ยกตัวอย่างเป็นเพียงส่วนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญคือน้องต้องดูว่าลักษณะเด่นของเรา เหมาะกับอาชีพที่เราคิดว่าอยากจะทำหรือไม่ หากไม่ นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ แต่นั่นหมายความว่าเราจะต้องฝึกฝนจุดบกพร่องที่เรามีเพื่อให้เราประสบความสำเร็จในงานที่เราอยากจะเป็น แต่ขอให้จำเอาไว้ว่าอย่าเอาเงิน หรือชื่อเสียงมาตัดสินเพราะ หากเราทำในอาชีพที่เราไม่รักไม่ชอบ เราจะไม่สามารถผ่านอุปสรรคในงานนั้นๆได้ เชื่อพี่เถอะครับ หากได้ทำงานที่รักแล้ว น้องจะรู้สึกว่าเหมือนไม่ทำงานอีกเลยตลอดชีวิต

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

10 คณะยอดฮิต แอดมิชชั่น 58


         ผ่านไปแล้วสำหรับการแอดมิชชั่น 58 น้องๆ อยากรู้ไหมว่าแต่ละคณะที่มีผู้สมัครมากที่สุดนั้น ทำไมถึงมีคนสมัครเยอะ เข้าไปแล้วเขาเรียนอะไรกันบ้าง ต้องเจอกับอะไรบ้าง เป็นที่ต้องการของตลาดมากน้อยแค่ไหน
บทความนี้จะพาไปรู้จักกับคณะต่างๆ ที่เรียนเหมือนกัน แต่ต่างสถาบัน โดยมีจุดประสงค์อยากให้น้องๆ ได้รู้เกี่ยวกับแต่ละคณะก่อนที่จะเข้าสู่สนามสอบแอดมิชชั่น 59
1.คณะพยาบาลศาสตร์

คณะพยาบาลศาสตร์ถือได้ว่าเป็นคณะยอดฮิตเพราะติดโผตั้ง 6 อันดับ 6 สถาบัน แต่ที่เราจะแนะนำให้รู้จักอีกหนึ่งสถาบันก็คือ วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย โดย พี่จั๊กจี้-ญานิศา จากวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย เล่าถึงสิ่งสำคัญของการเป็นพยาบาลคือ “ต้องซื่อสัตย์ รับผิดชอบ อดทน เพราะว่าวิชาชีพนี้เราต้องทำงานร่วมกับคนหลายๆ สาขาวิชา แต่ว่าเราคือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยมากที่สุด และผู้ป่วยแต่ละคนก็มีรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นความซื่อสัตย์จึงมีความสำคัญมากเพราะผู้ป่วยต้องไว้ใจเราได้”
2. คณะการบัญชีและการจัดการ สาขาวิชาบัญชีบัณฑิต

3. คณะวิทยาศาสตร์ (กลุ่มที่ 1 สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและชีวภาพ) ใน 8 สาขาวิชา คือ คณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์ประยุกต์ เคมี ชีววิทยา จุลชีววิทยา ฟิสิกส์ สถิติฯ


ถือได้ว่าเป็นคณะที่มีหลากหลายสาขาวิชามาก แต่หลักๆ คืออยู่บนพื้นฐานเหตุและผล โดยได้รวบรวมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจากการสัมภาษณ์มามีทั้ง รุ่นพี่อย่าง พี่น้ำตาล ธิภาดา จากภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ จุฬาฯ ที่บอกไว้ว่า“คณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานด้านความคิดอย่างมีเหตุผล”

หรืออย่าง คณิตศาสตร์ประกันภัย ที่กลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์เมื่อปีที่ผ่าน ศิษย์เก่าอย่างพี่พลอย-ปรียาภัทร์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล เล่าถึงเสน่ห์ของอาชีพนี้ว่า “มีอำนาจ คือเราสั่งได้เราเป็นคนตัดสินใจได้ เราเป็นคนเอาตัวเลขมาให้ผู้ใหญ่ตัดสินใจ มันรู้สึกว่าเอออาชีพเราสำคัญนะ แล้วหลายๆ คนต้องพึ่งพา ต้องพึ่งเรา ซึ่งบางทีก็กดดันเหมือนกัน” เอ้ย น่าสนนะเนี่ย


หากน้องๆ สนใจสาขาวิชาเคมี แต่ก็กลัวจะได้อยู่แต่โรงงาน พี่ปลา-ปาริฉัตร ศิษย์เก่าสาขาเคมีอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังบอกว่า “สาขานี้จบแล้วมีโอกาสในการทำงานค่อนข้างกว้าง ไม่จำเป็นต้องทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมก็ได้ค่ะ”

นอกจากนี้ยังมีรุ่นพี่จากสาขาวิชาอื่นๆ อย่างเช่น เคมี วิทยาศาสตร์ทางทะเล ชีววิทยา และไอดอลนักวิทยาศาสตร์หญิงคนเก่งของไทย“ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ” มาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เพื่อให้น้องๆ ได้เรียนรู้และเตรียมตัวให้พร้อมอีกด้วย
4. สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมการผลิต วิศวกรรมเกษตรและอาหาร วิศวกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมเคมี วิศวกรรมเครื่องกลฯ
วิศวกรรมก็ฮอตไม่แพ้คณะอื่นแถมยังแตกแขนงได้หลากหลายสาขาอีกด้วย “วิศวะอุตสาหการคือนก นกที่อยู่บนที่สูง เรามองลงมาเราเห็นทุกอย่าง เพราะว่าเราเรียนทุกอย่าง ก็เลยเข้าใจว่าแต่ละภาคทำอะไรได้บ้าง แล้วเราก็เรียนเพื่อจะไปผู้บริหาร” คือคำนิยามวิศวกรรมอุตสาหการ จากศิษย์เก่า พี่แนน สศิรา ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
5. คณะบริหารธุรกิ

ภายใต้คณะบริหารธุรกิจยังมีอีกหลายสาขาวิชาที่น่าสนใจนอกเหนือจากสาขาบัญชีแล้วยังมีอีกหลายสาขาที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นก็คือ สาขาวิชาการจัดการเพื่อเป็นผู้ประกอบการธุรกิจรุ่นพี่อย่างหนุ่มมาร์ช จุฑาวุฒิ บอกว่าการจัดการเพื่อเป็นผู้ประกอบการธุรกิจต่างกับบริหารธุรกิจ “เราทำธุรกิจต้องมีทักษะอะไร มีการจัดการในองค์กรอย่างไร มีการบริหารด้านบุคลากรอย่างไร ด้านสถานที่อย่างไร ด้าน operation อย่างไร ซึ่งมีแยกย่อยเยอะมากในการควบคุมบุคลากรหนึ่งคน”
6. คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ สาขาวิชารัฐศาสตร์
รู้หรือเปล่าว่ารัฐศาสตร์ไม่ได้ศึกษาแค่ประวัติศาสตร์ สถานการณ์โลกในปัจจุบัน แต่ยังต้องศึกษาคุณสมบัติของการเป็นทูต นโยบายต่างๆ และมีการเลือกเรียนภาษาที่ 3 อีกด้วย พี่มาเฟีย คณะรัฐศาสตร์ (เอกการระหว่างประเทศ) ธรรมศาสตร์ ยังบอกอีกว่า “นักรัฐศาสตร์ที่ดีควรมี “ความกล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าทำในสิ่งที่เชื่อ”
7. คณะอุตสาหกรรมเกษตร สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร
หากถามถึงสาขาวิชานี้ว่าจบไปแล้วทำอะไรได้บ้าง หนี่งในนั้นก็ต้องนึกถึงนักโภชนากร โดยเชฟชีวินจะมาบอกเล่าเรื่องราวถึงแม้ไม่ได้เรียนมาด้าน food science แต่ในด้านการเรียนรู้ยังมีความเกี่ยวข้องและคล้ายกันอยู่บ้าง ให้น้องๆ ได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ถูก
8. สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
“เพราะเศรษฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เป็นศิลปะในการเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ในการใช้สิ่งที่ตนเองไม่มี” คำบอกเล่าถึงเศรษฐศาสตร์ของหนุ่มแม็กซ์ เจนมานะ ศิษย์เก่าเศรษฐศาสตร์ อินเตอร์ ม.ธรรมศาสตร์
 9. คณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชาการจัดการธุรกิจและภาษาอังกฤษ

เป็นหลักสูตรด้านบริหารธุรกิจที่มีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการบริหารจัดการ ซึ่งในด้านการจัดการธุรกิจจะคล้ายคลึงกับคณะบริหารธุรกิจที่ได้รวบรวมไว้ในเบื้องต้นแล้ว
10. คณะนิติศาสตร์
สิ่งที่เด็กนิติฯ ต้องมีศิษย์เก่านิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่อย่างพี่พลอย ภัทรากรบอกว่า “เด็กนิติฯ ต้องเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ ชอบออกไปดูนู้นนี่ พลอยเชื่อว่าคนที่สนใจเรียนนิติแล้ว พอได้เรียนก็จะยิ่งรัก ยิ่งชอบ” น้องๆ คนไหนอยากเป็นนักกฎหมายลองตามไปอ่านดูว่ารุ่นพี่เรียนอะไรบ้าง จบแล้วยังต้องมีสอบอะไรอีก